เด่นเก้าแสน เก้าวิชิต (ชื่อจริง: สุเทพ หวังมุก; ชื่อเล่น: มะ) เป็นอดีตแชมป์โลกในรุ่นฟลายเวท ของสมาคมมวยโลก (WBA) นับเป็นนักมวยชาวไทยคนแรกที่มีโอกาสชิงแชมป์โลกถึง 3 ครั้งและประสบความสำเร็จ ซึ่งก่อนหน้านั้นมีนักมวยไทย 2 คนที่ได้ชิงแชมป์โลกถึง 3 ครั้ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ คือ จำเริญ ทรงกิตรัตน์ และ ถนอมศักดิ์ ศิษย์โบ๊เบ๊
เด่นเก้าแสนเกิดเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2519 ที่จังหวัดสงขลา แต่มาเติบโตและใช้ชีวิตอยู่ที่เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นชาวไทยมุสลิมนิกายสุหนี่ มีชื่อเป็นภาษาอาหรับว่า "แวฮามะ"
เริ่มชกมวยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 ด้วยการคว้าแชมป์ PABA ในรุ่นฟลายเวทก่อน และจากนั้นอีกหลายปีต่อมา ในปี พ.ศ. 2545 จึงได้มีโอกาสชิงแชมป์โลกครั้งแรกกับอีริค โมเรล นักมวยชาวเปอร์โตริโก ที่สหรัฐอเมริกา ก็เป็นฝ่ายแพ้น็อกไปอย่างสู้ไม่ได้ จากนั้นในกลางปี พ.ศ. 2550 ก็ได้มีโอกาสชิงแชมป์โลกอีกครั้งหนึ่งกับทาเคฟูมิ ซากาตะ ที่ประเทศญี่ปุ่น ผลการชกออกมาเสมอกัน ทั้งที่เด่นเก้าแสนน่าจะเป็นฝ่ายชนะมากกว่า
เมื่อเด่นเก้าแสนได้แชมป์โลกจากการชนะน็อกทาเคฟูมิ ซากาตะ คู่ปรับเก่าเมื่อวันสิ้นปีของปี พ.ศ. 2551 ที่ประเทศญี่ปุ่นแล้ว โดยชกในครั้งนั้นเด่นเก้าแสนมีผู้จัดการพร้อมกันถึง 2 คนคือ นายนริส สิงห์วังชา ที่รับตัวของเด่นเก้าแสนมาดูแลหลังจากการเสียชีวิตของ "ใหม่ เมืองคอน" นายชูโชค ชูแก้วรุ่งโรจน์ อดีตผู้จัดการ และ "แชแม้" นายนิวัฒน์ เหล่าสุวรรณวัฒน์ ตัวแทนของ WBA ในเมืองไทย เด่นเก้าแสนได้ขอเงินจากนายนริสเพื่อไปสร้างบ้านใหม่ แต่นายนริสไม่ให้ อีกทั้งนายนริสยังได้เซ็นสัญญาล่วงหน้าไว้กับทางโกกิ คาเมดะ นักมวยชาวญี่ปุ่น ไว้ในช่วงก่อนที่เด่นเก้าแสนไปชิงแชมป์โลก ว่าหากเด่นเก้าแสนได้แชมป์โลกแล้วจะมาป้องกันตำแหน่งกับคาเมดะเป็นรายแรก
ทางเด่นเก้าแสนจึงต้องการเปลี่ยนผู้จัดการโดยอ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ซึ่งต่อมาเรื่องได้บานปลาย จนต้องนำเรื่องขึ้นสู่สมาคมมวยอาชีพแห่งประเทศไทยเป็นผู้ตัดสิน และผลการตัดสินก็ออกมาว่า เด่นเก้าแสนเป็นอิสระ สามารถเลือกผู้จัดการคนใหมได้เอง ซึ่งเด่นเก้าแสนก็ได้เลือกนายวิวัฒน์เป็นผู้จัดการคนใหม่แทน ซึ่งทำให้ในปลายปี พ.ศ. 2552 สื่อมวลชนได้ให้ฉายาเด่นเก้าแสนว่า "แชมป์โลกปลดแอก"
เด่นเก้าแสนเสียแชมป์โลกเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 ในการชกทื่โกเบ กับ ไดกิ คาเมดะ คู่ปรับเก่าที่เด่นเก้าแสนเคยเอาชนะคะแนนมาแล้วเมื่อวันทื่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2552 ในการชกป้องกันตำแหน่งครั้งที่ 2 ที่โอซากา ในคราวนี้คาเมดะได้เปลี่ยนสไตล์การชก โดยเข้าสวมกอดและทิ้งตัวล้มลงบนเวทีเมื่อเวลาเด่นเก้าแสนคลุกวงใน ทำให้เด่นเก้าแสนไม่อาจชกได้ในสไตล์ที่ถนัด และถูกกรรมการตัดคะแนนไปถึง 2 ครั้งด้วยกัน จึงแพ้คะแนนไปในที่สุดอย่างเป็นเอกฉันท์ เสียแชมป์โลกไปในการป้องกันตำแหน่งครั้งที่ 3 นี้เอง
เมื่อเสียตำแหน่งแชมป์ไปแล้ว เด่นเก้าแสนได้เลื่อนรุ่นขึ้นไปชกในรุ่นซูเปอร์ฟลายเวท และคว้าแชมป์ PABA และแชมป์โลกเฉพาะกาลของ WBA มาได้ ด้วยการเอาชนะคะแนน โนบุโอะ นาชิโร่ นักมวยชาวญี่ปุ่นมาได้ ด้วยวัยที่มากถึง 37 ปี และต่อมาก็ได้รับสถาปนาให้เป็นแชมป์โลกตัวจริง แต่ต่อมาทาง WBA ได้กำหนดให้เด่นเก้าแสนขึ้นชกชิงแชมป์โลกตัวจริงอีกครั้งในวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2557 กับ โคเฮอิ โคโนะ นักมวยชาวญี่ปุ่น ผู้ได้แชมป์โลกมาจากการเอาชนะทีเคโอ เทพฤทธิ์ ก่อเกียรติยิม นักมวยชาวไทย ซึ่งโคโนะได้ชกแพ้คะแนน ลิโบริโอ โซลิส แชมป์โลกตัวจริงชาวเวเนซุเอลา ที่ขึ้นชกล้มแชมป์กับแชมป์รุ่นเดียวกันของสหพันธ์มวยนานาชาติ (IBF) คือ ไดกิ คาเมดะ ปรากฏว่าแม้โซลิสเป็นฝ่ายชนะ แต่ก็ต้องเสียแชมป์โลกเพราะทำน้ำหนักไม่ผ่าน ในส่วนการชกกับโคโนะก่อนหน้านั้น ฝ่ายโคโนะได้ทำหนังสือประท้วงไปยัง WBA ว่าผลการตัดสินไม่เป็นธรรม WBA จึงกำหนดให้เด่นเก้าแสนที่ได้รับสถาปนาไปแล้ว ต้องมาชกชิงแชมป์โลกตัวจริงกับ โคเฮอิ โคโนะ อีกครั้ง ซึ่งผลการชกออกมาปรากฏว่า เด่นเก้าแสนเป็นฝ่ายแพ้น็อกไปในเวลา 40 วินาทีของยกที่ 8 ซึ่งก่อนนั้น เด่นเก้าแสนก็พลาดโดนนับ 8 ในยกที่ 4 ทำให้หมดโอกาสได้เป็นแชมป์โลกตัวจริง หลังการชกเด่นเก้าแสนเปิดเผยว่าต้องการแขวนนวมตามที่ตั้งใจ เนื่องจากอายุมากถึง 37 ปีย่าง 38 ปีแล้ว โดยหันไปเป็นผู้ฝึกสอนให้แก่นักมวยรุ่นน้องในสังกัดแกแล็คซี่ต่อไป และจะนำเงินส่วนตัวที่เก็บได้จากการชกมวยทั้งหมดเปิดร้านขายเสื้อผ้ากีฬา โดยให้ลูกชายคนโตเป็นผู้ดูแล แต่หลังจากนั้นเพียง 3 เดือน เด่นเก้าแสนก็กลับมาชกเคลื่อนไหวอีก โดยเอาชนะคะแนนนักมวยชาวอินโดนีเซียไปได้
เด่นเก้าแสนและพูนสวัสดิ์ เข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ห้องสีม่วง ภายในทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2552